วันพฤหัสบดีที่ 12 มิถุนายน พ.ศ. 2557
วันจันทร์ที่ 9 มิถุนายน พ.ศ. 2557
14:40
Ronaldo โรนัลโด้
 |
ronaldo |
โรนัลโด้อดีตดาวยิงทีมชาติบราซิล เป็นเจ้าของแชมป์โลกสองสมัยในปี 1994 และ 2002 ละยังเป็นเจ้าของสถิติ นักเตะที่ยิงประตูในฟุตบอลโลกรอบสุดท้าย ได้มากที่สุดถึง 15 ประตู มีชื่อเต็มว่า โรนัลโด้ หลุยส์ นาซาริโอ เดอ ลิม่า เกิดเมื่อวันที่ 18 กันยายน ปี 1976 เส้นทางในอาชีพค้าแข้งของ โรนัลโด้ เริ่มต้น ในวัย 14 ปี เมื่อเขาถูกแนะนำให้กับทีมชาติบราซิลชุดเยาวชน โดย แจร์ซินโญ่ อดีตนักเตะระดับตำนานของทีม “แซมบ้า” นอกจากนั้น แจร์ซินโญ่ ยังแนะนำให้สโมสรครูไซโร่ อดีตต้นสังกัดของเขา จัดการเซ็นสัญญาคว้าเจ้าหนูสิงห์นักเตะรายนี้ มาร่วมทีมทันทีที่เข้าสู่วัยที่สามารถเซ็นสัญญาเป็นนักเตะอาชีพได้แล้ว
ในปี 1993 โรนัลโด้ วัย 16 ปี จัดการถล่มประตูให้กับทีมชาติบราซิล รุ่นอายุไม่เกิน 17 ปี ได้ถึง 59 ประตู จากการลงสนาม 57 นัด และในปีต่อมาเขาก็ถูกเรียกไปติดทีมชาติชุดใหญ่ พร้อมทั้งถูกเลือกให้ติดทีม “เซเลเซา” ชุดที่ไปทำศึกฟุตบอลโลก รอบสุดท้าย ปี 1994 ที่สหรัฐอเมริกา อีกด้วย โดยที่ คาร์ลอส อัลแบร์โต้ ปาร์เรร่า กุนซือของทีมชาติบราซิล ชุดนั้น หวังว่า เจ้าหนูมหัศจรรย์ของเขา จะได้เรียนรู้อะไรดีๆจาก โรมาริโอ และ เบเบโต้ กองหน้ารุ่นพี่ ที่เป็นกำลังสำคัญของทีมแซมบ้า ในเพลานั้น
ทีมชาติบราซิล สามารถทะละทะลวงคว้าแชมป์ฟุตบอลโลก 1994 มาครองได้ ทำให้ โรนัลโด้ ก็ได้เหรียญแชมป์ฟุตบอลโลก มาครองไปด้วย ในขณะที่มีวัยเพียง 17 ปี แม้ว่าเขาจะไม่ได้ลงสนามในฟุตบอลโลก ครั้งนั้น เลยก็ตาม
หลังจากนั้นอีก 4 ปี ในฟุตบอลโลก 1998 ที่ ฝรั่งเศส เป็นเจ้าภาพ โรนัลโด้ ในวัยฉกรรจ์ ก็พาบราซิล เข้าถึงรอบชิงชนะเลิศ อีกครั้ง ก่อนจะไปพ่ายให้กับ ฝรั่งเศส แบบยับเยิน ชนิดคาใจคนทั้งโลก ท่ามกลางข่าวลือว่า โรนัลโด้ ไม่ฟิตสมบูรณ์ ก่อนลงเตะนัดชิงชนะเลิศ แต่ก็ต้องฝืนสังขารลงไปยืนค้ำ ขู่แผงกองหลังฝรั่งเศส เพราะสปอนเซอร์ส่วนตัวของเขา ต้องการอย่างนั้น
อีก 4 ปีต่อมา โรนัลโด้ มาในสภาพที่สมบูรณ์สุดขีด ก่อนจะประสานงานกับ “นิเชา” ริวัลโด้ และ โรนัลดินโญ่ กลายเป็น “3อาร์”ที่ดังกระฉ่อนโลก แถมยังมี โรแบร์โต้ คาร์ลอส อยู่ในทีมรวมไปถึงครั้งแรกที่ บราซิล เล่นมิดฟิลด์ตัวรับสองคนในการโค้ชของ หลุยส์ เฟลิปเป้ สโคลารี่ บราซิล เป็นแชมป์โลก โรนัลโด้ ยิงคนเดียวในนัดชิงที่ชนะ เยอรมนี 2-0 พร้อมทรงผมสุดเท่ห์ นั่นคือ “ไดโกโระ”
4 ปีต่อมา โรนัลโด้ ทำลายสถิติการถล่มประตูในฟุตบอลโลกรอบสุดท้ายของ “ไอ้ลูกระเบิด” แกร์ด มุลเลอร์ ลงได้สำเร็จ และสถิตินี้ยังอยู่ยงคงกระพันชาตรีอยู่จนถึงวันนี้ที่ 15 ประตู
แต่ฟุตบอลโลกที่บราซิลหนนี้ต้องรอลุ้นว่าสถิตินี้จะโดนทำลายโดย มิโนสลาฟ โคลเซ่ ดาวยิงทีมชาติเยอรมันหรือไม่
วันพุธที่ 4 มิถุนายน พ.ศ. 2557
15:57
ฟุตบอลโลกครั้งแรกถูกจัดขึ้นในวันที่ 18 กรกฎาคม 1930 ในประเทศอุรุกวัย <Estadio Centenario> ซึ่งทีมชาติอุรุกวัย ก็สามารถเอาชนะทีมชาติอาร์เจนตินาไปได้ในรอบชิงชนะเลิศ คว้าแชมป์โลกไปครอง
 |
Estadio Centenario |
การแข่งขันฟุตบอลโลกครั้งนี้เป็นการแข่งขันครั้งโดยไม่มีการคัดเลือกทีมเข้าเล่น ประเทศที่เข้าร่วมเป็นประเทศที่ได้รับเชิญและเป็นส่วนหนึ่งของฟีฟ่า ในขณะนั้น ในขณะเดียวกันเนื่องจากค่าใช้จ่ายในการเดินทางข้ามมหาสมุทรแอตแลนติก มีค่าสูง ทำให้หลายประเทศในทวีปยุโรปไม่ได้เข้าร่วมฟุตบอลโลกในครั้งนี้ ทำให้ประธานของฟีฟ่า ชูลส์ รีเมต์ ร่วมกับรัฐบาลของอุรุกวัย ได้สัญญาจะจ่ายค่าเดินทางทั้งหมดให้กับทีมที่มาจากทวีปยุโรป ในที่สุดทีมจากยุโรป 4 ทีม ได้แก่ เบลเยียม ฝรั่งเศส ยูโกสลาเวีย และ โรมาเนีย ได้เดินทางทางทะเลเป็นเวลาสามอาทิตย์มาที่ประเทศอุรุกวัย การแข่งขันในครั้งนี้ได้แบ่งออกเป็น 4 สาย A B C และ D โดยสาย A มีอยู่ 4 ประเทศ ขณะที่สายอื่นมี 3 ประเทศ ผู้ชนะในแต่ละสายจะมาแข่งกัน จุดเริ่มต้นของศึกฟุตบอลโลกหนแรกของโลก ระเบิดขึ้นบนดินแดนละตินอเมริกาของ อุรุกวัย ในปี 1930 โดยมีประเทศเข้าร่วมการแข่งขันทั้งหมดเพียง 13 ทีม และในศึกเวิลด์ คัพ หนนี้ไม่มีการเตะรอบคัดเลือก แต่อย่างใด ฝ่ายอุรุกวัย เจ้าภาพทำการเชื้อเชิญทีมต่างๆ มาร่วมโม่แข้งแทน ผลปรากฏว่ามีเพียง 4 ทีมจากยุโรปเท่านั้น ที่ยินยอมตอบรับคำเชิญ เนื่องจากหลายประเทศต้องเดินทางไกลมาก แต่ อุรุกวัย ก็มีความเหมาะสมที่จะเป็นเจ้าภาพในครั้งแรกนี้ ไม่ว่าจะเป็นตำแหน่งเหรียญทองในกีฬาโอลิมปิก หรือคำยืนยันว่าจะออกค่าใช้จ่ายให้กับทุกทีมที่เดินทางมาร่วมแข่งขัน และยิ่งไปกว่านั้น สนาม เซนเตนาริโอ ในกรุงมอนเตวิเดโอ ซึ่งสามารถรองรับแฟนฟุตบอลได้ร่วม 1 แสนชีวิต คือ สังเวียนแข้งแห่งใหม่ เพื่อใช้ในการเฉลิมฉลองวาระครบรอบ 100 ปีของวงการฟุตบอลอุรุกวัยอีกด้วย เกมการแข่งขันนัดเปิดสนาม เมื่อวันที่ 13 ก.ค. เริ่มขึ้นด้วยความทุลักทุเล แต่ ฝรั่งเศส ภายใต้การสนับสนุนของ จูลส์ ริเม่ต์ ประธานฟีฟ่าชาวเมืองน้ำหอม ก็สามารถถล่มเอาชนะ เม็กซิโก ไปได้อย่างสบาย 4-1 โดย ลุกแซง โลร็องต์ ถูกจารึกว่าเป็นผู้ทำประตูแรกในประวัติศาสตร์ของศึกฟุตบอลโลก อย่างไรก็ตามในกลุ่ม เอ อาร์เจนตินา กลับเป็นทีมที่สร้างผลงานได้ดีที่สุด ด้วยการเอาชนะทั้งฝรั่งเศส และชิลี โดยเฉพาะเกมที่พบกับ เม็กซิโก นั้น ได้มีชายที่ชื่อ กิลเยร์โม่ สตาบิเล่ กลายเป็นฮีโร่ของทีมฟ้า-ขาว เมื่อสามารถทำแฮตทริกได้เป็นคนแรกในการแข่งขัน รวมทั้งในศึกฟุตบอลโลกด้วย ทำให้ อาร์เจนตินา กลายเป็นแชมป์กลุ่มอย่างง่ายดาย ส่วน กลุ่ม บี ยูโกสลาเวีย เข้ารอบรองชนะเลิศไปอย่างสบาย เมื่อเอาชนะทั้ง บราซิล และโบลิเวีย ขณะที่กลุ่ม ซี มาริโอ เดอ ลาส คาซาส กัปตันทีมของ เปรู กลายเป็นนักเตะคนแรกที่โดนไล่ออกจากสนาม เมื่อไปเตะ สเตเนอร์ แบ๊กขวาของโรมาเนียจนขาหัก แต่ อุรุกวัย เจ้าภาพก็อาศัยความได้เปรียบเข่นเอาชนะทั้ง 2 ทีมไปได้อย่างไม่ยากเย็น ขณะที่ สหรัฐอเมริกา กลายเป็นม้ามืดของการแข่งขัน เมื่อเอาชนะ เบลเยียม และปารากวัย ไปได้ 3-0 ทั้งๆ ที่ไม่ได้รับการคาดหมายว่าจะมีโอกาสเข้ารอบเลย สำหรับรอบ 4 ทีมสุดท้าย ทีมฟ้า-ขาว โชว์เพลงแข้งที่เหนือกว่า ถล่มเอาชนะ สหรัฐฯ ไปอย่างท่วมท้น 6-1 ส่วน นักเตะจอมโหด เจ้าภาพ ก็อัดยูโกสลาเวีย ไป 6-1 เช่นกัน
รอบชิงชนะเลิศในศึกเวิล์ด คัพ หนแรก กลายเป็นแมตช์รีเพลย์ของฟุตบอลโอลิมปิกเกมส์ เมื่อปี 1928 เพราะ อุรุกวัย มาเจอกับ อาร์เจนตินา อีกครั้ง และแม้ว่า นักเตะฟ้า-ขาว จะเล่นได้ดีกว่า แต่ทีมจอมโหด ก็พลิกสถานการณ์ในครึ่งหลัง กลับมาเป็นฝ่ายเอาชนะไปได้อย่างตื่นเต้น 4-2 ส่งผลให้อุรุกวัย กลายเป็นแชมป์ฟุตบอลโลกครั้งแรกในประวัติศาสตร์ ขณะที่ สตาบิเล่ ก็ครองตำแหน่งดาวซัลโวสูงสุด เมื่อซัดไป 8 ประตู